จากการทดลองนำเซลล์ซอมบี้จำนวนเล็กน้อยใส่ลงไปใต้ผิวหนังของหนูอายุน้อย ทิ้งไว้ไม่นานจะเกิดการอักเสบแพร่กระจายไปทั่วตัวหนู และไม่นานทั้งตัวหนูจะเต็มไปด้วยเซลล์ซอมบี้
การอักเสบไม่ดีต่อสุขภาพ ไม่เชื่อลองถามคนที่เป็นโรคปลอกประสาทเสื่อม โรคลำไส้อักเสบเรื้อรังหรือโรคสะเก็ดเงินดู ซึ่งโรคพวกนี้สัมพันธ์กับการมีสารไซโตไคน์ (Cytokine) มากเกินไป นอกจากนี้การอักเสบยังเป็นตัวกระตุ้นโรคหัวใจ โรคเบาหวาน และภาวะสมองเสื่อม ทั้งหมดนี้เป็นสัญญานความชราก่อนวัย (Premature Aging) ซึ่งพวกนี้เราเรียกโดยรวมว่า “ภาวะอักเสบจากความชรา” (Inflammaging)
จากที่กล่าวมา จะเห็นว่า เซลล์ซอมบี้ จะเป็นแหล่งที่ปล่อยสารไซโตไคน์ออกมา ซึ่งสารนี้ไม่ได้ทำให้เกิดแค่ภาวะอักเสบเท่านั้น แต่ยังทำให้เซลล์อื่นๆ รอบตัวมัน กลายเป็นเซลล์ซอมบี้ไปด้วย – เหมือนซอมบี้ในหนัง Walking Dead เลย!
สุดท้ายพวกมันจะสามารถกระตุ้นเซลล์รอบข้างให้กลายเป็นเซลล์มะเร็ง และแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่นได้ด้วย
จากการทดลองในหนู พบว่า การทำลายเซลล์ซอมบี้ (เซลล์ที่เสื่อมสภาพ) จะทำให้พวกมันกลับมาแข็งแรงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และยังมีอายุยืนขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ – ทั้งทำให้ไตทำงานดีขึ้นกว่าเดิมเป็นเวลานานขึ้น ทำให้หัวใจต้านทานต่อภาวะเครียดได้มากขึ้น ด้วยเหตุนี้จึงช่วยให้อายุขัย (Lifespan) ของหนูพวกนี้ยืนยาวขึ้น 20-30%
... แล้วเราจะยับยั้งเซลล์ซอมบี้นี้ได้อย่างไร?
กลไกที่ใช้ยับยั้งมี 2 กลุ่ม ดังนี้
กลุ่มซีโนไลติก (Senolytic agent) – เป็นอาวุธที่ใช้ทำลายเซลล์ซอมบี้ที่ได้ผลดีมาก ซึ่งก็คือ
สารเคอร์เซติน (Quercetin) พบมากใน พลูคาว ลูกเคเปอร์ เคล และหอมแขก (*)
สารไฟเซติน (Fisetin) พบมากใน สตรอเบอร์รี่ แอปเปิ้ล ลูกพลับ หัวหอม แตงกวา และฟักทอง (**)
ยาดาซาทินิบ (Dasatinib) ที่ใช้เป็นเคมีบำบัดมาตรฐานในการรักษามะเร็งเม็ดเลือดขาว (Leukemia) เพื่อกำจัดเซลล์เสื่อมสภาพ – จากการทดลองกับหนู พบว่ายาตัวนี้ช่วยยืดอายุขัยได้ถึง 36% (***)
กลุ่มซีโนมอร์ฟิก (Senomorphic agent) – สารในกลุ่มนี้ไม่ได้ใช้ฆ่าเซลล์ซอมบี้ แต่จะช่วยป้องกันไม่ให้เซลล์ซอมบี้หลั่งสารไซโตไคน์ออกมาก เช่น PDI (diphenyleneiodonium) ซึ่งเป็นยาที่มีฤทธิ์ senomorphic effect สูงมาก เป็นต้น
===========================
อ้างอิง
Comments